ประวัติศาสตร์การเพาะกาย
ค.ศ.1900 (พ.ศ.2443) ปลายศตวรรษที่ 18 เริ่มแรกผู้คนในอเมริกาให้ความสำคัญกับเรื่องดุแลสุขภาพให้แข็งแรง
โดยมีการทำงานในฟาร์ม ทานอาหารธรรมชาติ ไม่มีการดัดแปลงอาหารต่างๆ ต่อมาเมื่อความเจริญเกิดขึ้นในตัวเมือง
คนหนุ่มสาวจึงพากันเดินทางจากเมืองเล็กๆ จากชนบทเข้าสู่เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยรถยนต์
เครื่องจักร
ด้วยสภาวะแวดล้อมแบบสังคมเมือง ทำให้เกิดการทานอาหารที่ไม่ดี ,ขาดการออกกำลังกาย ,มีความเครียดเกิดขึ้นจากการแข่งขันต่างๆในชีวิต
ทำให้คนในเมืองต่างพากันร่างกายทรุดโทรม
ในช่วงเวลาดังกล่าว มีผู้พยายามปลุกกระแสคนในเมืองให้ดูแลรักษาสุขภาพตนเอง
และมีสร้างค่านิยมการยกย่องผู้ที่มีความแข็งแกร่งในร่างกาย
เพื่อจะได้นำไปลบล้างกับค่านิยมที่หาแต่เงินอย่างเดียว ซึ่งเราเรียกว่า The
Physical culturists
แผ่นพับโฆษณายูจีน แซนดาว ในยุคนั้น
ช่วงปี ค.ศ.1920 - 1930 (พ.ศ.2463 - 2473) เป็นช่วงเวลาที่
"การพัฒนากล้ามเนื้อ" กับ "การพัฒนาสุขภาพ"
ใกล้จะรวมกันแล้ว
สมัยนั้นรู้แต่เพียงว่าการยกลูกน้ำหนักเป็นการพัฒนากล้ามเนื้อได้อย่างรวดเร็ว แต่ถามว่าจะต้องยกท่าไหน อย่างไร
ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เพราะความรู้เกี่ยวกับการเล่นกล้ามมีจำกัดมาก ผู้คิดค้นต่างๆได้ลองผิดลองถูก
โดยลองดูว่าท่าไหนบริหารแล้ว
ได้ผลออกมาทำให้ร่างกายใกล้เคียงกับนักเพาะกายรุ่นก่อนหน้าพวกเขา เขาก็จะบันทึกไว้
และนี่คือรายละเอียดเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
ลูอิส
เซียร์
ต้นศตวรรษที่ 19 "ลูอิส เซียร์"(รูปบน)
ได้โด่งดังขึ้นมาในฐานะตัวแทนแห่งความแข็งแกร่งของมวลมนุษย์ เขามีน้ำหนักตัว 136
กิโลกรัม ,ร่างกายหนาแบบมะขามข้อเดียว
เนื้อตัวแน่นแบบถังเบียร์ แต่แล้ว 20 ปีให้หลัง
ก็มีผู้แข็งแกร่งคนใหม่ขึ้นดับรัศมีความดังของลูอิส เขาคือ ซิกมัน เคลียน
ซิกมัน เคลียน
รูปร่างของซิกมัน แตกต่างกับลูอิส ราวฟ้ากับเหว ซิกมันมีรูปทรงกล้ามเนื้อที่สวยงาม สมดุลและสมส่วน ไขมันทั่วร่างกายมีน้อยนิด
และมีรอยแตกของกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆชัดเจนเตะตา
มีหลายอย่างที่ดูคล้ายแซนดาว จนน่าพิศวง เขาเป็นเจ้าของโรงยิม
และเป็นคนเขียนตำราการยกน้ำหนัก
แต่ในช่วงดังกล่าว (ค.ศ.1930 หรือ พ.ศ.2473)
ผู้คนบางกลุ่มก็ยังไม่ยอมรับว่าการยกน้ำหนักเป็นกีฬา เขามองว่ามันเป็นการ
"ขี้โกง" ที่เอาเวลาส่วนใหญ่ไปฝึกตัวเองด้วยลูกเหล็ก
ทำให้ร่างกายออกมาดูดีกว่านักกีฬากรีฑาที่ฝึกหนักตลอดปีเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม
การพยายามแสดงว่ากีฬาของตัวเองดีกว่ากีฬาชนิดอื่น ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ
ประกวดประชันกันบนเวทีขึ้นมา โดยในช่วงระหว่างปีค.ศ.1930 - 1938 (พ.ศ.2473 ถึง
2481) มีการนำเอานักมวย ,นักยิมนาสติก ,นักว่ายน้ำ ,นักยกน้ำหนัก (weightlifters) และนักกีฬาอย่างอื่นขึ้นโชว์ตัวบนเวทีเดียวกัน
และให้ทุกๆคนโชว์ความสามารถต่างๆในกีฬาที่ตัวเองถนัด
และกลายเป็นว่านอกจากนักยกน้ำหนักจะยกน้ำหนักโชว์แล้ว
เขายังสามารถทรงตัวอยู่บนแขนข้างเดียวและยังทำท่าทางได้เหมือนนักยิมนาสติกอีกด้วย
ในปี ค.ศ.1939 (พ.ศ.2482)
ได้เกิดการประกวด มิสเตอร์อเมริกา ขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมดิสันสแควร์
ผู้ที่เข้าร่วมประกวด มาจากนักกีฬาหลายสาขา
ยังไม่ใช่คนที่มาจากนักยกน้ำหนักล้วนๆ บ้างก็ใส่กางเกงชกมวยขาสั้น บ้างก็ใส่กางเกงจ๊อกกี้ขี่ม้า
แต่ผู้ที่ชนะก็ยังเป็นผู้ที่สร้างร่างกายมาจากลูกน้ำหนักอยู่ดี
จอห์น กริเม็ค
ใน ปี ค.ศ.1940 (พ.ศ.2483)
ได้มีการบัญญัติศัพท์นักเพาะกาย "body
builder" แยกมาจาก นักยกน้ำหนัก (weightlifters) และเราได้นักเพาะกายคนแรกคือ จอห์น
กริเม็ค ซึ่งก็คือผู้ชนะการประกวดมิสเตอร์ยูเอสเอในปีนี้นั่นเอง (ค.ศ.1940)
จอห์นฯ คือผู้ชี้ให้เห็นว่าการจะเพาะกายให้มีรูปร่างสวยงามเหมือนต้นแบบนั้น
จะต้องฝึกด้วยตารางฝึกเดียวกันกับครูต้นแบบ เขามักเน้นเสมอว่าการเพาะกาย
ย่อมลดความปราดเปรียวลง (เพื่อแยกตัวออกมาจากนักกีฬากรีฑา ,นักบอล
,นักมวย ให้เป็นกีฬาที่มีลักษณะเฉพาะตัวนั่นเอง)
จอห์นฯแสดงการโพสท่าต่างๆบนเวทีแต่ละครั้งเป็นเวลา 30 นาทีรวดเพื่อโชว์กล้ามเนื้อ ,ความสมส่วน ,การประสานการทำงานของกล้ามเนื้อต่างๆ
สตีฟ
รีฟฟ์
ปี ค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) สตีฟ รีฟ เด็กหนุ่มอายุ 21 ปี
ได้แชมป์มิสเตอร์อเมริกา พออายุ 22 ปี (ปีถัดมา) เขาก็ตำแหน่ง Mr.World อีก
สตีฟเป็นนักเพาะกายที่หน้าตาหล่อเหลา สุภาพ รูปร่างแข็งแกร่งสมชายชาตรี
หลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เล่าให้ฟังถึงช่วงเวลานั้นว่า
ฝูงชนแน่นขนัดพากันห้อมล้อมชายผู้นี้ไม่ว่าเขาจะไปที่แห่งหนใดก็ตาม
และคนที่ไม่รู้จักเขามาก่อนเลย ก็ต้องตกตะลึงกับรูปร่างอันสวยงามยามที่เขาเดินเล่นบนชายหาด
ถึงอายุมากขึ้น แต่การเพาะกายก็ทำให้สตีฟเป็นที่เตะตาผู้คนโดยตลอด
สตีฟ ทำให้คนหันมาสนใจการเพาะกายมากขึ้นอีก
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ชนะรายการ Mr.Universe ในปี ค.ศ.1950 (พ.ศ.2493) แล้วเขาได้เป็นดาราภาพยนตร์หลายเรื่องและที่สร้างชื่อเสียงก็คือในบทของเฮอร์คิวลิส
นั่นเองที่ทำให้ผู้คนโดยทั่วไป ได้เห็นนักกล้ามอย่างชัดๆบนแผ่นฟิล์ม
และชายทุกคนก็ปรารถนาที่จะได้หุ่นเช่นเขาบ้าง อาจกล่าวได้ว่าทั้ง จอห์น กริเม็ค และสตีฟ รีฟฟ์ นี่เอง
ที่เป็นหัวหอกในการทำลายขอบเขตความเป็นไปได้ของร่างกายมนุษย์ที่เราล่ำเรียนมาในตำราการแพทย์ทั้งหลาย
(เป็นต้นว่า คนเราไม่สามารถยกของที่หนักกว่าน้ำหนักตัวได้ ,เป็นไปไม่ได้ที่กล้ามแขนของมนุษย์เราจะใหญ่กว่า
15 นิ้ว เมื่อเทียบกับขนาดเอว 27 นิ้ว ฯลฯ) ผู้คนเริ่มมองเห็นแล้วว่า การมีร่างกายสวยงาม
สามารถ "สร้าง" ขึ้นมาได้ ไม่ใช่
"โชคดีที่เกิดมาหุ่นอย่างนั้น"
และการเพาะกายเริ่มได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวาง
อาร์โนล์ ชวาลเซเนกเกอร์ (คนขวา) อายุ 20 ปีได้แชมป์สมัครเล่นรายการ Mr.Universe ปี ค.ศ.1967บิล
เพิลล์ (คนซ้าย) นักเพาะกายมังสวิรัติ ได้แชมป์เพาะกายอาชีพในรายการเดียวกัน
อาร์โนลด์ ชวาลเซเนกเกอร์ เกิดปี ค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) ช่วงที่สตีฟรีฟ กำลังเริ่มโด่งดังพอดี
จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป 20 ปี คือใน ปี ค.ศ.1967 (พ.ศ.2510) อาร์โนลด์ฯขึ้นประกวดรายการมิสเตอร์ยูนิเวอร์ส
และได้แชมป์ในรุ่นสมัครเล่น (Amature Mr.Universe)ตามภาพบน
และในปีรุ่งขึ้นอาร์โนลด์ก็เข้าแข่งรายการเดิมอีกครั้ง
และผลออกมาดังภาพข้างล่างนี้
ปี ค.ศ.1968 (ปีรุ่งขึ้น) อาร์โนลด์
ได้เป็นมิสเตอร์ยูนิเวอร์ส ด้วยอายุ 21 ปี
จากการลองผิดลองถูกมาตั้งแต่ยุคของกรีเม็ค
จนถึงยุคอาร์โนลด์ ความรู้ทางด้านเพาะกายได้ตกผลึกจนสามารถสรุปออกมา
ทำให้บุคคลรุ่นหลังไม่ต้องเสียเวลาทดลอง ลองผิด ลองถูกด้วยตนเองอีก การบริหารที่ถูกต้อง จะต้องมีการแบ่งเป็นเซท มีการพักระหว่างเซท การบริหารกล้ามเนื้อจะต้องแยกส่วนกันบริหาร
กล้ามเนื้อชิ้นใหญ่ต้องพักอย่างน้อย 3 วัน ,ส่วนกล้ามเนื้อชิ้นเล็ก
พักอย่างน้อย 2 วัน ฯลฯ ยุคของอาร์โนลด์เป็นต้นมาเราถือว่าเป็น Modern
Bodybuilding คือเป็นการเพาะกายยุคใหม่ และเมื่อมีภาพยนตร์เรื่อง Pumping
Iron ที่เป็นหนังกึ่งสารคดี
แสดงโดยอาร์โนลด์และนักเพาะกายท่านอื่นๆในยุคเดียวกัน ออกฉาย
ก็ทำให้คนทั่วไปรู้จักการเพาะกายมากขึ้นไปอีก
ในช่วงสิบกว่าปีของอาร์โนลด์หลังจากนั้น ถือเป็น "ยุคทอง" ของการเพาะกาย
เพราะมีการเผยแพร่ความรู้ด้านเพาะกายได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์
มีคนเล่นกล้ามมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
อันดูได้จากอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องออกกำลังกาย ,อาหารเสริมสุขภาพ
,นิตยสารเพาะกายหลายยี่ห้อ ,ชื่อ
รายการประกวด ใหม่ๆเกิดขึ้นในทุกๆรัฐของอเมริกา เช่น มิสเตอร์นั่น มิสเตอร์นี่ ฯลฯ
ทุกอย่างเติบโตอย่างฉุดรั้งไม่อยู่
สถานที่ออกกำลังกายหรือโรงยิมต่างๆแน่นไปด้วยผู้คนที่สนใจเล่นกล้ามกัน
ทั้งหมดที่กล่าวมา
เป็นประวัติคร่าวๆของการเพาะกายย้อนหลังไป 100 ปี
ที่นำมาให้ศึกษาเพื่อให้เป็นความรู้ครับ แม้ตอนนี้การเพาะกายจะไม่บูมเหมือนเมื่อ
30 ปีก่อน แต่หากมันกลับมาฮิตอีกครั้ง คนที่เริ่มต้นเสียตั้งแต่บัดนี้
ย่อมมีภาษีมากกว่าคนที่พึ่งเริ่มจากศูนย์ในตอนนั้น แต่การเพาะกายไม่จำเป็นต้องรอยุคแฟชั่น
เพราะเมื่อใดที่เราเพาะกาย เราก็จะได้สุขภาพที่ดี บุคลิกภาพที่ดี ความสะดุดตา
ไม่ว่ามันจะเป็นยุคสมัยใดก็ตาม
ที่มา http://bodybuilding-sp.blogspot.com/2012/02/blog-post_4505.html










ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น